วันอังคารที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2554

ภัยพิบัติ 2012


ทำให้คิดถึง “ยุคสุดท้าย” ในพระคัมภีร์ที่กล่าวถึงการเสด็จกลับมาของพระเยซูคริสต์ เพื่อพิพากษามนุษยชาติ
“เมื่อท่านทั้งหลายจะได้ยินถึงการสงคราม และการจลาจล อย่าตกใจกลัว เพราะว่าสิ่งเหล่านั้นจำต้องเกิดขึ้นก่อน แต่ที่สุดปลายยังมาไม่ถึง...ประชาชาติต่อประชาชาติ ราชอาณาจักรต่อราชอาณาจักรจะต่อสู้กัน ทั้งจะเกิดแผ่นดินไหวใหญ่ และจะเกิดการกันดารอาหารและโรคภัยในที่ต่างๆ และจะมีความวิบัติอันน่ากลัว และหมายสำคัญใหญ่จากท้องฟ้า” (ลก. ๒๑.๙-๑๑)
                สงคราม...จลาจล...ความวิบัติอันน่ากลัว!
                สิ่งเหล่านี้กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบันมิใช่หรือ? ผู้ที่เกาะติดสถานการณ์ก็จะรู้ว่า ภัยทางธรรมชาติตามที่พระวจนะของพระเจ้าได้บันทึกไว้นั้น กำลังสั่นคลอนโลกนี้อย่างหนักหน่วง
 ภัยพิบัติอย่างแรก คือคลื่นยักษ์สึนามิ (Tsunamis) ซึ่งแตกต่างจากคลื่นธรรมดาในทะเล คลื่นชนิดนี้จะมีความยาวของคลื่นตั้งแต่ ๑๐๐ กิโลเมตรถึง ๑๕๐ กิโลเมตร หรือประมาณ ๑๐๐ เท่าของคลื่นปกติ และมีความเร็วระหว่าง ๖๔๐ กิโลเมตรถึง ๙๖๐ กิโลเมตร
                ที่ญี่ปุ่นเจอสึนามิเข้าไปคราวนี้ซึ่งมีความเร็วถึง ๘๐๐ กม./ชม. มีความสูง ๒๐ เมตร ซัดขึ้นฝั่งไปไกลขากฝั่งถึง ๑๐ กิโลเมตร ซึ่งนับว่ารุนแรงกว่าเมื่อครั้งปี ๒๐๐๔ ซึ่งสึนามิเข้าถล่มฝั่งอันดามันของไทย กวาดตั้งแต่อินโดนีเซีย มาเลเซีย ไทย พม่า ศรีลังกา อินเดีย หมู่เกาะมัลดีฟส์และโซมาเลีย
                ภัยพิบัติอย่างที่สอง แผ่นดินไหว (Earthquakes) พระเยซูตรัสว่าจะเกิด “แผ่นดินไหวในที่ต่างๆ” (มธ. ๒๔.๗) นับว่าเป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติที่ร้ายแรงมาก และวัดความสั่นสะเทือนเป็นริกเตอร์ หลังแผ่นดินไหวที่ญี่ปุ่นเพียงไม่กี่วัน ก็เกิดขึ้นอีกในประเทศพม่า ทรัพย์สินเสียหาย บ้านเรือนพังทลาย และผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก (แต่พม่าไม่ยอมเปิดเผยตัวเลข) ความพินาศของมันลามมาจนถึงชายแดนไทยที่แม่สาย และเชียงรายด้วย
                น่าสังเกตว่าเมื่อเกิดแผ่นดินไหวจะเกิดไฟไหม้ตามมา พร้อมกับการทะลักของน้ำและแผ่นดินถล่ม!
                ภัยพิบัติอย่างที่สาม คลื่นความร้อน หรืออุณหภูมิสูงผิดปกติ (Extreme Temperatures)  มีสาเหตุสืบเนื่องมาจากการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างไม่บันยะบันยังของมนุษย์ทั้งหลาย การตัดไม้ทำลายป่า การบุกรุกของพวกนายทุนทั้งหลาย ชาวบ้านเผาขยะ ใบไหม้ หญ้าแห้งและเผาป่าเพื่อล่าสัตว์ หรือเพื่อให้ต้นไม้บางชนิดแตกใบอ่อน แล้วจะเก็บมาเป็นอาหาร เช่น ผักหวาน เป็นต้น
                อากาศร้อนจัดๆนี่ก็ทำให้คนตายได้ และหนาวจัดๆก็ทำให้ตายเสียชีวิตได้พอๆกัน ซึ่งเคยเกิดขึ้นในยุโรปมาแล้ว ปัจจุบันมันมาลามมาถึงเอเชียและทั่วโลกแล้ว
                ภัยพิบัติอย่างที่สี่ น้ำท่วม (Floods) เรื่องนี้เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อมนุษยชาติมีจำนวนไม่มากนัก สาเหตุมาจากพวก
เขาไม่เชื่อฟังพระเจ้าและทำความผิดบาปอย่างหนักหนาสากรรจ์ ตอนนั้นน้ำมากวาดไปซะจนเกลี้ยงเลย เหลือเพียงแปดคนเท่านั้นคือโนอาห์และครอบครัว (ปฐก. ๖-๙)
                ตั้งแต่ปี ๒๐๐๐ เป็นต้นมา น้ำท่วมได้กลายเป็นปัญหาใหญ่ที่ทำลายชีวิตของผู้คนและทรัพย์สินเสียหายมากมาย จนถือว่าเป็นภัยทางธรรมชาติอันดับ ๔   ขณะที่กำลังเขียนอยู่นี้ เป็นปลายเดือนมีนาคม ซึ่งในประเทศไทยน่าจะเป็นฤดูร้อนแล้ว แต่ปรากฏว่าฝนได้กระหน่ำลงมาอย่างหนักทางภาคใต้ คลื่นในทะเลซัดสูง ตั้งแต่จังหวัดชุมพรลงไปจนถึงสุดปลายด้ามขวาน ถนนหนทางเสียหายถูกตัดขาด บ้านเรือนและสวนยางจมอยู่ใต้น้ำ นับว่าเป็นสูญเสียทางด้านเศรษฐกิจอย่างใหญ่หลวง
                ภัยพิบัติอย่างที่ห้า พายุที่พัดทำลาย (Winstroms) ซึ่งวัดตามมาตรโบฟอร์ด ความเร็วลมขนาด ๗๕-๘๖ กม./ชม. ถือว่าเป็นพายุรุนแรง มากขึ้นอีกก็เป็นพายุจัด จนถึงความเร็วลมที่ ๑๑๖-๒๐๑ กม./ชม. เป็นพายุเฮอร์ริเคน เมื่อมันทวีขึ้นจนถึงระดับสูงสุด กิ่งไม้หักและเดินไปข้างหน้าไม่สะดวก สิ่งก่อสร้างเสียหาย ต้นไม้ถอนรากถอนโคน ไปจนถึงขนาดระดับ ๑๒-๑๗ จะเกิดความเสียหายขนาดหนัก เช่น เมื่อปี ๑๙๗๐ เกิดพายุพัดอย่างรุนแรงในบังคลาเทศ ทำให้มีผู้คนล้มตายไปถึง ๓ แสนคน
                ภัยพิบัติอย่างที่หก ดินถล่มและหิมะถล่ม (Landslides / Avalanches) มีสาเหตุสืบเนื่องมาจากผู้คนต้องการที่อยู่อาศัยมาก จึงไปรุกรานธรรมชาติ แผ้วทางพื้นที่และตัดไม้ทำลายป่า เมื่อฝนตกลงมาแล้วไม่มีต้นไม้ซับน้ำและดินไว้ได้มันจึงเกิดรอยแยกและถล่มลงมา
                ยกตัวอย่างใกล้ๆตัวเรานี่เอง ซึ่งเห็นอย่างจะจะ เมื่อต้นปีที่ผ่านมาเกิดขึ้นที่ดอยแม่สะลอง สถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของจังหวัดเชียงราย ได้เกิดรอยแยกตามภูเขา แผ่นดินทรุดและบ้านเรือนของผู้คนถล่มลงมา สร้างความวิตกกังวลและวุ่นวายขึ้น จนต้องมีการอพยพโยกย้ายกันอย่างโกลาหล
                ภัยพิบัติอย่างที่เจ็ด ไฟป่า (Wildfires) แต่เดิมนั้นไฟป่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เพราะความร้อนและแห้งแล้ง แต่ปัจจุบันไฟป่าส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากน้ำมือของมนุษย์เราเอง นับว่าเป็นเรื่องเสียหายทางด้านร่างกายและทรัพย์สิน มีรายงานคนเชียงใหม่เป็นโรคปอดมากที่สุด เพราะควันไฟทำให้อากาศเป็นพิษ 
มีคนหนึ่งเล่าให้เราฟังว่า เมื่อเขาไปสมัครเป็นอาสาสมัครดับไฟป่า ต้องทำงานอย่างหนักทั้งวันและคืน เพราะว่าดับตรงนี้ ไฟก็ไปไหม้ตรงโน้น มีคนคอยกลั่นแกล้งโดยจุดไฟทั่วไป วันหนึ่งหัวหน้าของเขาสอนว่า “ถ้าเอ็งไม่อยากยุ่งยากและเหน็ดเหนื่อยในการดับไฟล่ะก้อ เอ็งก็เผาป่ามันซะก่อนสิวะ”
แต่ปีนี้เราต้องขอบพระคุณพระเจ้า เพราะว่าเดือนมีนาคมและเมษายน ฤดูฝนกับฤดูหนาวกลับมาอีกครั้ง ทำให้อากาศชุ่มชื้นและหนาวเย็น ทำให้ผู้คนทั้งหลายรู้สึกแฮปปี้มากๆ  กรมอุตุนิยมรายงานว่า ฤดูอันเยือกเย็นนี้จะทอดตัวยาวไปอีกราวสองเดือน กว่าจะถึงหน้าร้อนก็เดือนมิถุนายนโน่นแหละ
ภัยพิบัติอย่างที่แปด ภูเขาไฟระเบิด (Volcanic Eruptions) แต่ก่อนโน้นเราไม่ค่อยตระหนักว่าภูเขาไฟระเบิดเป็นเรื่องสำคัญ เพราะคิดว่ามันอยู่ไกลตัว และประเทศไทยก็ไม่มีภูเขาไฟที่ครุกรุ่นอยู่ แต่เมื่อมันเกิดขึ้นบ่อยๆและมีผลกระทบไปทั่วโลก โดยเฉพาะก๊าซพิษที่ล่องลอยไปทำอันตรายแก่มนุษย์และสัตว์โดยตรง
ภูเขาไฟที่รอวันระเบิดอยู่ในเอเชียเรานี่เอง เช่น ที่ประเทศญี่ปุ่น ฟีลิปปินส์ และอินโดนีเซีย เมื่อปี ๑๙๖๘ ได้เกิดภูเขาไฟระเบิดขึ้นในประเทศแคมมารูน ประชาชนไม่ได้เสียชีวิตจากการไหลของลาวาหรือโคลนร้อนจัดของภูเขาไฟ แต่พวกเขาจำนวน ๑ พัน ๗ ร้อยคนต้องตายเพราะสูดดมก๊าสพิษเข้าไป
สิ่งที่เราทำได้ในขณะนี้คือ
(๑)รู้ว่าวาระสุดท้ายของโลกใกล้เข้ามาแล้ว
ตามที่พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “เมื่อท่านทั้งหลายจะได้ยินเสียงสงคราม และข่าวลือเรื่องสงคราม อย่าตื่น
ตระหนกเลย ด้วยว่าสิ่งเหล่านี้จำต้องบังเกิดขึ้น แต่ที่สุดปลายยังมาไม่ถึง เพราะราชอาณาจักรต่อราชอาณาจักรจะต้องสู้กัน ทั้งจะเกิดแผ่นดินไหวในที่ต่างๆ และจะเกิดการกันดารอาหาร เหตุการณ์ทั้งปวงนี้เป็นขั้นแรกแห่งความทุกข์ยากลำบาก...ด้วยว่าในคราวนั้น จะเกิดความทุกข์ลำบากอย่างที่ไม่เคยมีตั้งแต่พระเจ้าทรงสร้างโลก มาจนถึงทุกวันนี้ และในเบื้องหน้าจะไม่มีอีกต่อไป” (มก. ๑๓.๗-๘, ๑๙)
                เราคริสเตียนทุกคนเตรียมพร้อม เพื่อต้อนรับการเสด็จกลับมาของพระเยซูคริสต์! 
(๒)ช่วยกันชะลอความพินาศที่จะมาถึง
ในขณะที่ยังมีเวลาเหลืออยู่เพียงเล็กน้อยนี้ ให้เราช่วยกันรักษาสิ่งแวดล้อมด้วยการปลูกต้นไม้ และไม่เผาป่าหรือขยะ รู้จักพอเพียง ไม่โลภอยากได้ โดยตระหนักว่า ถึงคุณได้มา ได้มี และได้อยู่อย่างมากมายเพียงไรก็ตาม ตายไปก็ไม่สามารถเอาตัวไปได้ ทุกคนล้วนไปมือเปล่าทั้งสิ้น (จริงมะ)
(๓)จิตวิญญาณสำคัญกว่าสิ่งอื่นได้
พระเยซูตรัสว่า “เพราะว่าผู้ใดใคร่จะเอาชีวิตรอด ผู้นั้นต้องเสียชีวิต แต่ถ้าผู้ใดจะเสียชีวิตเพราะเห็นแก่เรา ผู้นั้นจะได้ชีวิตรอด เพราะผู้ใดจะได้สิ่งของสิ้นทั้งโลก แต่ต้องเสียชีวิตของตน ผู้นั้นจะได้ประโยชน์อะไร หรือผู้นั้นจะนำอะไรไปแลกเอาชีวิตของตนกลับคืนมา” (มธ. ๑๖.๒๕-๒๖)
ใครก็ตามที่คิดได้อย่างนี้
เขาจะสามารถแหงนหน้าดูฟ้าเบื้องบน
และพูดออกมาว่า “มารานาธา” พระเยซูเจ้าเชิญเสด็จมาเถิด.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น